Silver กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ EV

ถึงเวลาที่โลกกำลังจะบอกลา “เครื่องยนต์สันดาปภายใน” “internal combustion engine” (ICE) และก้าวเข้าสู่การใช้ “รถยนต์ไฟฟ้า” “electric vehicles” (EV) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าความเงียบของมอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่เสียงของเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งรู้หรือไม่ว่า ? ระบบภายในของรถยนต์ EV ที่สวยงามเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นหัวใจหลักที่หลายคนอาจไม่รู้จัก นั่นคือ Silver หรือ แร่เงิน นั่นเอง

ถ้าพูดถึงโลหะมีค่า หลายคนคงนึกถึง “เครื่องประดับ” เป็นส่วนใหญ่ แต่โลหะมีค่าอย่าง Silver นั้น ได้มีบทบาทอย่างมากในการเข้ามาปฏิวัติวงการรถยนต์ EV ด้วยคุณสมบัติจำเพาะที่พิเศษกว่าโลหะมีค่าชนิดอื่น จึงเป็นส่วนสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ไปจนถึงระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นพลังงานให้กับยานยนต์ยุคใหม่เหล่านี้บทความนี้เราจะมาพูดถึงความสำคัญ Silver กับวงการรถยนต์ EV ในปัจจุบัน

ปริมาณซิลเวอร์ในรถยนต์แบบ ICE เมื่อเทียบกับ รถยนต์ EV

การใช้ ซิลเวอร์ ในรถยนต์ ICE มีมานานแล้ว

โดยส่วนใหญ่จะเป็นส่วนประกอบของ สายไฟ, กล่องฟิวส์ และจุดติดต่อไฟฟ้าต่างๆ เพราะความสามารถในการนำไฟฟ้าและความทนทานต่อการกัดกร่อนที่ยอดเยี่ยมทำให้ซิลเวอร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน

นอกจากนี้ ซิลเวอร์ยังถูกใช้ในเครื่องฟอกไอเสีย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดการปล่อยสารพิษจากรถยนต์ ICE

ถึงแม้ว่าจะมีแพลทินัมและแพลเลเดียมเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ซิลเวอร์มีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพของโลหะมีค่าเหล่านั้น ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด

ซิลเวอร์ยังพบได้ในส่วนประกอบอื่นๆ อีก เช่น เซนเซอร์, สวิตช์, ระบบละลายน้ำแข็งสำหรับกระจกหน้ารถ เป็นต้น นอกจากนี้ยังถูกใช้ในการเคลือบพื้นผิวสะท้อนแสงในไฟหน้าและกระจกมองหลัง เพิ่มความสามารถในการมองเห็นและความปลอดภัย

ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว รถยนต์ ICE ทั่วไปจะมี Silver เป็นส่วนประกอบประมาณ 15-28 กรัม ฟังดูเหมือนไม่เยอะ แต่ถ้าดูจากกำลังการผลิตรถยนต์แบบ ICE ในแต่ละปีนั้น มูลค่าของ Silver ก็มหาศาลเลยทีเดียว

ปริมาณ ซิลเวอร์ ในรถยนต์แบบ EV

เนื่องจาก EV ต้องพึ่งพาระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงมากกว่า จึงส่งผลให้รถยนต์ 1 คันมีการใช้ปริมาณซิลเวอร์ที่มากกว่าเมื่อกับรถยนต์แบบ ICE ไม่ว่าจะเป็นชุดสายไฟ, แผงวงจร และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ให้พลังงานแก่ระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อน ซิลเวอร์ จึงเป็นตัวเลือกสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในระบบเหล่านี้ เพราะสามารถจัดการกับกระแสไฟสูง

อีกส่วนประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการซิลเวอร์ใน EV คือระบบอินเวอร์เตอร์ ซึ่งแปลงกระแสตรงจากแบตเตอรี่เป็นกระแสสลับเพื่อให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้า [P]ซิลเวอร์เป็นวัสดุหลักที่ใช้ในการผลิตอินเวอร์เตอร์ รวมถึงหน่วยควบคุมมอเตอร์ที่ควบคุมการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า

แบรนด์ EV หลายๆ แบรนด์ในท้องตลาด ต่างขนฟีเวอร์เด็ด ความฉลาดของซอฟแวร์ จัดเต็มให้กับผู้บริโภค ซึ่งระบบต่างๆนี้ จะไม่สมบูรณ์เลยหากไม่มีแผงวงจรควบคุม หน้าจอสัมผัส เสาส่งสัญญาณ จากทั้งหมดที่พูดถึงอุปกรณ์เหล่านี้ต้องใช้ซิลเวอร์เป็นส่วนประกอบหลักทั้งสิ้น

การประมาณการปริมาณซิลเวอร์รถยนต์ EV คาดว่ามีซิลเวอร์อยู่ประมาณ 25 ถึง 50 กรัม มากกว่ารถยนต์ ICE อย่างมีนัยสำคัญ หรือมากว่า 70%

ความต้องการของซิลเวอร์มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต ?

จากความต้องการรถยนต์ EV ในท้องตลาดที่มีความต้องการสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความต้องการซิลเวอร์ในภาคอุตสหกรรมรถยนต์ EV ด้วยเช่นกัน สร้างความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของตลาดซิลเวอร์

จากในอดีตมีการใช้ซิลเวอร์ในชิ้นส่วนหรือระบบรถยนต์ ICE ค่อนข้างคงที่ แต่ในปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ปริมาณการใช้ซิลเวอร์ต่อคันเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับอุตสหกรรมอื่นๆ อย่าง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อุตสาหกรรมเครื่องประดับ

แต่เมื่อไม่นานมานี้เราจะเห็นได้ว่ามีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่จำนวนเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยจากข้อมูลในปี 2566 ของกรมขนส่งทางบก มีการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ประเภทรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) มากเกือบ 700% เมื่อเทียบกับ 2565 ที่มา : https://policywatch.thaipbs.or.th/article/economy-21

จากการคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของความต้องการซิลเวอร์จากภาคยานยนต์ มีปัจจัยดังนี้ 1.การเติบโตอย่างรวดเร็วของยอดขาย EV ทั่วโลก 2.ปริมาณของซิลเวอร์ที่สูงขึ้นต่อ EV 1 คัน เมื่อเทียบกับรถยนต์ ICE แบบดั้งเดิม 3.ความกังวลเกียวกับสภาวะโลกร้อนและความต้องการที่จะหาหนทางในการคมนาคมแบบยั่งยืน

ด้วยเหตุทั้งหมดนี้คาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ EV จะเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็ว การคาดการณ์ในอุตสาหกรรมนี้ชี้ให้เห็นว่ายอดขาย EV ทั่วโลกอาจคิดเป็นกว่า 50% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ภายใน 10 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกัน ปริมาณซิลเวอร์ที่ต้องการต่อ EV 1 คัน สูงกว่ารถยนต์ ICE แบบดั้งเดิมด้วย

เช่นเดียวกับสินค้าทั่วไป หากมีอุปสงค์มากกว่าอุปทานเมื่อไหร่ หรือ มีความต้องการซิลเวอร์จากภาคยานยนต์เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการผลิตซิลเวอร์จากเหมือง อาจนำไปสู่แรงกดดันต่อซิลเวอร์ราคาที่เพิ่มขึ้น สิ่งนี้อาจมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ที่พึ่งพาซิลเวอร์ รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, แผงพลังงานแสงอาทิตย์ หรือแม้กระทั่งเครื่องประดับ

บทสรุป

เมื่อโลกก้าวสู่การขนส่งที่ยั่งยืนผ่าน EV ความต้องการซิลเวอร์จากภาคยานยนต์จะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความตึงเครียดในอุปทานที่มีอยู่ สิ่งนี้อาจทำให้ราคาของซิลเวอร์เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เป็นที่แน่ชัดว่า บทบาทของซิลเวอร์ในการวงการรถยนต์ EV จะเติบโตต่อไปเมื่อมีการขยายตัวไปทั่วโลก แนวโน้มนี้จะกระตุ้นการลงทุนเพิ่มเติมในการทำเหมืองซิลเวอร์เทคโนโลยีการรีไซเคิล และวัสดุทดแทนที่มีศักยภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าอุปทานที่เสถียรและยั่งยืนของโลหะมีค่าชนิดนี้ หรือ ที่เราเรียกว่า “ซิลเวอร์”

ขอบคุณแหล่งที่มา
https://www.kitco.com/opinion/2024-06-28/silver-and-ev-revolution
https://policywatch.thaipbs.or.th/article/economy-21